poem

เรื่องสั้น : เงาแสงเงียบงัน

lightgraffiti01 แสงจากรถสวนแยงตาจนผมมองอะไรไม่เห็นปล่อยรถส่ายไหลไปหน้าตามเวรตามกรรม เสียงล้อเบียดตัวถังดังลั่นแล้วรถก็ตะแคง ผมกุมพวงมาลัยแน่น ไม่ทานแรงเหวี่ยง ไหล่กระแทกประตู หัวอัดกระจกอย่างแรง ยังดีที่เข็มขัดนิรภัยยื้อไว้ไม่งั้นหลุดเด้งกระดอนไม่รู้หัวรู้หาง แล้วโลกก็หมุนคว้างเหมือนอยู่ในลูกบอลกำลังกลิ้ง แค่อึดใจทุกอย่างก็หยุดนิ่งพร้อมเสียงโครม!

"นายก็ขาดทุนป่นปี้น่ะสิ!"  พาสตะโกนใส่หน้าผม ทั้งเป็นเรื่องเดือดร้อนของผมเองแท้ ๆ
ผมเข่าอ่อนหมดแรงยืน เท้ามือเปะปะไปบนโต๊ะ เอื้อมดึงเก้าอี้ หย่อนก้นนั่ง ตบกระเป๋าควานบุหรี่ก้นซองออกมาแต่แล้วนึกขึ้นได้ว่าจะเลิกสูบ  ผมขยำซองบุหรี่ปาไปทางถังผง ไม่ลงปากถัง มันกระแทกขอบโค้งแฉลบไปชนข้างฝากลิ้งกระดอน

พาสยื่่นก้นบุหรี่ให้ ผมตัดใจรับมาสอดเข้ามุมปาก

นิโคตินในรูปไอระเหยแทรกผ่านผนังเซลล์ปอดเข้าไปละลายรวมกับเซลล์เม็ดเลือดแดงแล่นพล่านไปทั่วร่าง อาการวิงเวียนค่อยคลาย กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาทกลับกระชุ่มกระชวยอีกครั้ง

"ปล่อยผ่านไปนายก็เดือดร้อนน่ะสิ"  ผมซืดลึกอั้นไว้จนพอใจค่อยถอนมวนหงายหน้าพ่นควัน

"มือดับนี้แล้ว นายอย่าห่วงเลยนา"  พาสดันเก้าอี้หาโต๊ะ ก้มลงมองกล้องจุลทรรศน์อีกครั้ง  "เดี๋ยวเราจัดการเอง"

พาสรับเงินจากผมรายเดือนไม่มากไม่น้อย พอทำให้งานเดินไปด้วยดีไม่ต้องติด ๆ ขัด ๆ หากใช้มาตรการเข้มงวด แน่ล่ะแทบไม่มีของล็อตไหนผ่าน  อะลุ่มอล่วยทำให้งานสะดวกขึ้นแต่ก็ต้องมีอะไรบ้างเป็นสินน้ำใจ  แรก ๆ เราออกไปดื่มกันช่วงสุดสัปดาห์ กินไปกินมาพูดคุยกันถูกคอจนกลายเป็นเพื่อน

"ส่งปนไปกับของล็อตอื่น เท่านี้ก็หาต้นตอไม่เจอแล้ว"  พาสเงยหน้าจากกล้องหมุนเก้าอี้ใช้ข้อศอกเท้าโต๊ะไขว้ขาหันมาทางผม

"แต่" 

"เอานา เอานา"  พาสโบกมือแล้วเสยผม ลุกขึ้นสอดสองมือล้วงกระเป๋าเดินมาชะโงกซะหน้าแทบชนจมูกผม  "ต้องมีไอ้คนส่งสักรายลักไก่นายแน่ ๆ ไปควานหาให้เจอละกัน อย่าให้มีครั้งหน้าอีก"  ส่งเสียงลอดไรฟัน  "ไปลงของแล้วรอซักแป๊บ ได้ยินว่ามีเด็ด ๆ มาใหม่"  พาสยิ้มขยิบตาเรอกลิ่นสะตอใส่หน้าผม
ผมลุกเดินใจลอยจากมา

ช่องทางจากห้องคิวซีกลับมาที่รถไม่ไกลเท่าไร  แต่คล้ายใช้เวลาเป็นชั่วโมง ผมเสียบกุญแจสตาร์ทรถ เครื่องยนต์อีซูซุ 170 แรงม้าส่งเสียงคราง สัมผัสพวงมาลัยเรียบลื่น ค่าผ่อนของเดือนนี้ผุดขึ้นในหัว แค่ผมเคลื่อนรถผ่านช่องประตูเข้าไปทุกอย่างก็เสร็จสิ้น ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล พาสทำงานที่นี่มานานจนสนิทกับทุกคน ตั้งแต่เด็กยกจนหัวหน้าแผนก เรื่องง่าย ๆ แค่นี้เขาทำได้แน่  อีกอย่างหากพลาดไม่ใช่แต่ผมที่จะหลุดสัญญา (แน่ล่ะปัญหาร้อยแปดจะตามมา) เขาเองก็ต้องเดือดร้อน

ผมเหยียบครัชเข้าเกียร์

แสงไฟจากรถบนถนนส่องผ่านวูบวาบวูบวาบ  ผมมีสติตลอดเวลา รู้ว่าโลกพลิกกลับหัวกลับหางหกบนหกล่างแล้วกลายเป็นตะแคง  กระจกหน้าร่วงกราว  มองออกไป หม้อน้ำปล่อยไอโขมงเหมือนกำลังดูหนังแอ็คชั่น คอเจ็บจี๊ดคล้ายมดกัดแล้วค่อย ๆ ขยายขึ้นเหมือนหยดน้ำบนกระดาษสา ดูท่าว่าจะไม่มีวันสิ้นสุด เจ็บรุนแรงขึ้นจนแทบทนไม่ได้  พวงมาลัยบีบอัดแนบหน้าอก เข็มขัดนิรภัยช่วยรัดตัวไว้ได้ก็จริง แต่ส่วนหัวยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเร็วรถ แรงกระแทกส่งไปที่คอจนข้อต่อแทบหลุดจากกัน คิดถึงหนังฝรั่งที่ทีมช่วยเหลือต้องมีอุปกรณ์ย้ายคนเจ็บโดยเคลื่อนไหวน้อยสุด มิเช่นนั้นอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ กว่าถึงโรงพยาบาลอาจถึงตาย ผมคอแข็งทื่อไม่กล้าขยับอีก เข็มขัดนิรภัยช่วยไว้ไม่ให้กระแทกกระจกหน้าก็จริงแต่ไม่พ้นกระจกประตู เลือดไหลโกรกผ่านขมับลงเบ้าตา ผมปาดออก คลำปลดล็อคเข็มขัด พยายามยันมือดันตัวออกจากเก้าอี้

ด้านนอกมีคนมากันเยอะแล้ว  เงามืดวิ่งตัดแสงไฟพัลวัน เสียงร้องเรียกฟังวุ่นวายสับสน

ผมดันตัวคากรอบประตูรถ เท้ามือบนป่าหญ้าเฉอะแฉะ  ชายคนหนึ่งหยุดหันมอง สองมือหอบของเต็มหน้าอก เขาจ้องผม อึกอักคล้ายลังเลไม่รู้ตัดสินใจยังไงดี หากดูไม่ผิด ผมคิดว่าแววตาของเขาบอกให้ผมทำความเข้าใจว่าเขามีความจำเป็น เขาเองก็อยากจะช่วยแต่เขาจำเป็นจริง ๆ

หญิงวัยกลางคนหอบของเต็มอกพอกันเดินมาสะกิด เขาหันรีหันขวาง ชั่วครู่ก็ติดตามหญิงคนนั้นไป
ผมคลานออกจากกรอบประตู เหลียวมองไปทางท้ายรถ ตู้เย็นบี้แทบพับหากัน คนน่าจะเกินสิบกรูยื้อแย่งหอบของออกจากท้ายรถ เลือดไหลผ่านมุมปากรสเค็มปะแล่ม  ผมเริ่มตาพร่า แสงไฟบนถนนวิบวับยิ่งมึนงง คลานพ้นกรอบประตู ผมพยายามยันตัวลุกยืน

หันมองพวกเขาอีกครั้ง คิดถึงใบหน้าพาส

"เชื้อนี้เอาถึงตายเชียวโว้ย!"  เขาสะดุ้งถอนตาจากกล้องดันเก้าอี้ล้อเลื่อนผละห่างโต๊ะราวเจอะสัตว์ประหลาด หันหน้าตาเหลือกมองผม  "โดนเบาะ ๆ ก็หยอดน้ำเกลือโรงพยาบาลล่ะ"

คำนี้คล้ายคำสั่งตัดสินประหาร  แพ็คไก่แปรรูปที่สุ่มตรวจจะมีเชื้อติดมาไม่ได้ หากคิวซีพบแค่ตัวอย่างเดียวเป็นอันยกเลิกทั้งล็อต

"พบเชื้อเหรอ"  ผมคอตก 

พาสพยักหน้าทั้งยังอ้าปากค้าง ไม่เคยเห็นเขาตะลึงขนาดนี้มาก่อน ผมรู้ดี หากไม่หนักหนาจริง ๆ เขาช่วยแน่ พาสเคยช่วยมาแล้วหลายครั้ง แต่หนนี้

"งั้นเราคงต้องพากลับ"  ผมก้มหน้ารำพึงทั้งใจอยากให้พาสช่วยอีกสักครั้ง

ผมล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกง แสงจอสว่างวาบ ยังใช้งานได้ กดโทรฯ เหลียวมอง 6 ล้อคู่ชีพอีกครั้งแล้วลากขาจากไป ไปให้พ้นจากคนกลุ่มนั้น ●  
   
ดาลใจ จากสเตตัสของพี่แสง

Share this post

Post a comment

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

:ambivalent:
:angry:
:confused:
:content:
:cool:
:crazy:
:cry:
:embarrassed:
:footinmouth:
:frown:
:gasp:
:grin:
:heart:
:hearteyes:
:innocent:
:kiss:
:laughing:
:minifrown:
:minismile:
:moneymouth:
:naughty:
:nerd:
:notamused:
:sarcastic:
:sealed:
:sick:
:slant:
:smile:
:thumbsdown:
:thumbsup:
:wink:
:yuck:
:yum: