ยก 1
เสียงโห่ร้องดังสับสน ทุกคนชูไม้ชูมือแหกปากเหมือนหมาบ้า ภาพพวกมันหมุนวนพลิกหัวพลิกหางกลับหน้ากลับหลังชวนอ้วก พวกมันยืนล้อมวงมีแสงสว่างส่องลอดตัวลอดขากะพริบเหมือนหลอดไฟเสื่อม
เสียงตุ๊บทึบ ๆ ทุบเข้ากกหู
เขาเซแซด ๆ เสียงโห่ร้องกลายเป็นเสียงหวีดหวิวของวิทยุทรานซิสเตอร์ไร้คลื่น เซใส่กลุ่มคนห้อมล้อมกำลังส่งเสียงปลุกเร้า พวกมันรับตัวเขาไว้แล้วผลักกลับมา
ฝ่ายตรงข้ามไม่ปล่อยโอกาส เงื้อหมัดสวนเข้าปลายคาง เขาหน้าสั่นปากสั่น เส้นผมสะบัด กระเซ็นเหงื่อปนละอองเลือดปลิวว่อน ร่างเซตามแรงหมัดหน้าฟาดลงกับพื้นซีเมนต์ ใบหน้าที่คล้ายคางคกชุบน้ำยาอุทัยสั่นสะท้านกระดอนขึ้นช้า ๆ ก่อนกระแทกพื้นอีกครั้งแล้วแน่นิ่งน้ำลายสีเลือดไหลเป็นทาง
พวกคนดูตาค้าง ถอนใจ ล้วงกระเป๋า เดินข้ามตัวเขาจ่ายเงินให้ฝ่ายชนะพนัน บางคนจ่ายเสร็จหงุดหงิดไม่มีที่ระบาย เดินกลับมาเงื้อขาจะกระทืบเขาซ้ำ แต่แล้วเปลี่ยนใจ ถ่มน้ำลาย 'ถุ้ย!' สะบัดหน้าจากไป
ผู้คนแยกย้ายสลายหายในความมืด ทิ้งเขานอนใบหน้าอาบเลือดแนบพื้นซีเมนต์
ยก 2
แสงสว่างส่องลอดร่องบานหน้าต่างเข้ามา เห็นข้าวของวางเกะกะกระจายทั่วห้อง เสื้อผ้าเก่าถอดกองพื้น ปลายเตียงมีช้อนพาดเกยขอบจาน พวกมดกำลังชักแถวเดินขบวน ใบหน้าคางคกชุ่มน้ำยาอุทัยที่ครั้งหนึ่งเคยหล่อเหลาไม่แพ้หนุ่ยอำพล ลำพูนฟุบหลับกับผ้าปูที่นอนยู่ยี่กลิ่นมะนาวบูด
เขาผวาตื่น!
ดวงตาเบิกโพลง อันที่จริงก็เบิกได้ไม่มากนักเพราะมันบวมจนจะปิดอยู่แล้ว ชายหนุ่มประคองตัวคว้าขวดน้ำดื่มเข้าห้องน้ำอย่างยากเย็น กรอกน้ำดื่มกลืนครึ่งนึงบ้วนปากครึ่งนึง น้ำสีน้ำยาอุทัยจาง ๆ ไหลลงท่ออ่างล้างหน้า ชายหนุ่มเหลือบมองกระจกเงาเหนืออ่างแล้วสะดุ้งโหยง
"เฮ้ย!"
ถลาชนผนังรูดร่วงลงกับพื้น
สักครู่จึงค่อยกระเสือกกระสนโผล่หน้าขึ้นเหนืออ่างอีกครั้ง พยายามถ่างตามองคนในกระจกเงา
"ที่แท้กูเอง"
ลำแดดเช้าส่องลอดช่องหน้าต่างเห็นเม็ดฝุ่นปลิวยิบ ๆ เขานั่งบนเตียงไขว้ขาพาดเข่าผูกเชือกรองเท้าผ้าใบสีตุ่น มีรูขาดระบายอากาศตรงปลายนิ้วก้อย เขากระดิกเท้าบิดไปมาให้แน่ใจว่ารัดแน่นดีแล้วค่อยทิ้งฝ่าเท้าลงพื้น ฝุ่นฟุ้งขึ้นอย่างกับแมลงเม่าแตกรัง เขายันเข่ายืดกายลุกเสียงกระดูกลั่นกร็อบ ๆ เอื้อมหยิบกุญแจข้างประตู หมุนลูกบิดดึงบานประตูเปิด ก้าวออกจากห้องแล้วกดล็อกลูกบิด
กำลังจะดึงประตูปิดอยู่แล้ว พลันเหลือบเห็นป้าแช่มเจ้าของห้องเช่าเดินมา
แผล็วกลับเข้าห้อง ดันประตูปิดแผ่วเบา เสียงล็อกลูกบิดดีดดังกริ๊ก! ก้าวยาวแล้วโจนออกหน้าต่าง รูดตัวลงตามท่อน้ำฝน แค่ชั้นสองไม่สูงมาก อึดใจรองเท้าผ้าใบสีตุ่นก็แตะพื้น ย่อตัวนิดหน่อยพอช่วยถ่ายแรงแล้วยืดกายสูดหายใจลึก เขากระหยิ่มยิ้ม ปัดมือหันกายจะออกเดิน ไม่ทันก้าวขาก็สะดุ้งเฮือก!
"ป้า!"
ป้าแช่มเจ้าของห้องเช่ายืนเท้าสะเอว อมยิ้มแบบนางอิจฉาในละครหลังข่าว กล่าวน้ำเสียงเย็นเยือก
"ชอบใช้หน้าต่างแทนประตูหยั่งงี้ ป้าเอาประตูออกซะดีมั้ย?"
"โธ่ป้า" ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน "ก็..ก็.." ฉุกละหุกคิดอะไรไม่ออก
"ก็อะไร" ป้าแช่มถาม (คราวนี้ใช้สำเนียงแม่นางอิจฉา)
"ก็" คิดออกแล้ว "ลูกบิดมันติดน่ะป้า เปิดไม่ออกผมเลยต้องปีนลงมานี่แหละ"
"อ้าวเหรอ!?" สีหน้าแปลกใจเป็นจริงเป็นจัง "เดี๋ยวป้าให้คนมาซ่อม.."
"ไม่ต้องหรอกป้า" เขาชิงพูด "เรื่องจิ๊บ ๆ ผมซ่อมเองได้ ไว้เย็นนี้กลับมาค่อยจัดการ นัดเพื่อนไว้ไปก่อนนะป้า" ตั้งท่าจะออกเดิน
"เดี๋ยว!" ป้าแช่มคว้าแขน "ค่าเช่าล่ะ สามเดือนแล้วนะ"
"จะไปเอามาให้นี่ไง" ชายหนุ่มบอก "เมื่อคืนผมชกชนะได้เงินเดิมพันไม่น้อย เดี๋ยวเบิกมาให้ เย็นนี้ล่ะป้า"
"เดือนก่อนก็บอกหยั่งงี้"
"อ้าวเหรอ!" เขาสะดุ้ง "ก็แล้วผมบอกด้วยเปล่าว่าพวกมันโกงไม่ยอมจ่าย คิดแล้วแค้นใจ หยาดเหงื่อแรงกายผมแท้ ๆ เลยนะ พวกมันโกงกันซึ่งหน้า" เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
"นั่นเมื่อเดือนก่อนโน้น" ป้าแช่มบอก
"อ้าวเหรอ!" ชายหนุ่มเลิกคิ้วฉงน "คงจำสับสน แต่ไม่ใช่หนนี้แน่ เมื่อคืนชนะใส ๆ เย็นนี้ไม่ใช่แค่จ่ายของเก่านะ ผมว่าจะจ่ายล่วงหน้าไว้สักสามเดือนเกิดพลาดอะไรขึ้นมาจะได้ไม่ต้องค้างป้าอีก"
ป้าแช่มคลายมือแล้วส่ายหน้า "ป้าว่าเอ็งเลิกชกเหอะ ดูสารรูปเข้าสิ เหมือนถูกหมาฟัด ทำมาหากินทางอื่นไม่ดีกว่ารึ?"
"โธ่ป้า" ชายหนุ่มยิ้ม ลูกมะกรูดช้ำเลือดช้ำหนองบนหนังตากระเด้งขึ้นลง "ผมน่ะหนุ่ยน้อย ลูกแม่ลำเภาแชมป์ศึกปลากระป๋องปุ้มปุ้ยเกริกไกรเชียวนะ มวยเป็นชีวิตจิตใจผม บอกไปป้าก็ไม่เข้าใจ นา..ไม่ต้องห่วงเย็นนี้เอาตังค์มาให้"
ชายหนุ่มผละเดินจากไป ป้าแช่มยืนมองตามแล้วส่ายหน้า
ยก 3
สวนสาธารณะกลางเมืองห้อมล้อมด้วยตึกสูง พวกนกเมืองคงไม่มีที่เกาะที่ทำรังจึงพากันมาใช้บริการสวนสาธารณะคับคั่ง ถนนซีเมนต์ทอดยาวคดเคี้ยว มีตัวเลขเหลืองบอกระยะทางสำหรับนักวิ่งออกกำลังกาย มีเก้าอี้พนักยาววางข้างทางเป็นระยะ พื้นถนนเต็มด้วยนกพิราบบินขึ้นลงเดินไปเดินมา
ฝูงนกพิราบแตกฮือเมื่อรองเท้าสองคู่เดินผ่านมา คู่หนึ่งเป็นหนังดำขัดมัน อีกคู่เป็นผ้าใบสีตุ่นมีรูระบายอากาศตรงนิ้วก้อยขวา
"นา..ไว้เราชนะแล้วจะจ่ายคืนทั้งหมด" หนุ่ยน้อยสะบัดปลายเกือกสงสัยมีก้อนกรวดมุดเข้าไปวิ่งเล่น
รองเท้าหนังดำขัดมันหยุดเดิน ชายหนุ่มชุดสูทผูกเนคไทสอดมือล้วงกระเป๋ากางเกง เอียงคอมองหนุ่ยน้อย ลูกแม่ลำเภาด้วยแววตายากบรรยาย สายลมเมืองในสวนสาธารณะพัดผ่าน ปอยผมตรงหน้าผากตกลงมาต่องแต่ง ชายหนุ่มปล่อยให้มันห้อยอยู่อย่างนั้นคิดว่าคงทำให้หล่อไม่แพ้สมบัติ เมทะนีครั้งอดีต
"นายหวีผมเรียบเสมอ" หนุ่ยน้อยเตือนความทรงจำ "จะไม่ปัดเสียหน่อยรึ?"
"ปล่อยไว้งั้นล่ะ" ชายหนุ่มบอก "เราว่าหยั่งงี้หล่อดี"
หนุ่ยน้อยพยักหน้าไม่อยากขัดความหล่อของเพื่อน เก็กฮวยมีเชื้อจีนจึงผิวขาวหน้าตากระเดียดข้างเกาหลี เขากับเก็กฮวยชกมวยมาด้วยกันตั้งแต่เรียนมัธยมที่บ้านนอก ด้วยความเจ้าสำอางกลัวเสียหล่อ เก็กฮวยชกแบบปิดหน้าตลอดจนถูกคู่ชกถลุงซี่โครงหักครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้นหักครบหมดทุกซี่เก็กฮวยจำผันตัวเองเป็นพี่เลี้ยงเป็นคู่ซ้อมให้เขาโดยรับส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์ค่าตัวทุกครั้งที่ขึ้นชก
ด้วยความที่ครอบครัวเป็นคนจีน เก็กฮวยมีหัวการค้าฝังในดีเอ็นเอ จากรับพนันรายย่อยค่อย ๆ เติบโตพร้อมชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่าของหนุ่ยน้อย ลูกแม่ลำเภาจนได้ตำแหน่งแชมป์จ้าวมวยไทย ถึงเวลานั้นเก็กฮวยก็เป็นเจ้ามือโต๊ะใหญ่รับแทงทั้งเวทีมาตรฐานและสังเวียนข้างถนน
วันนี้ฐานะทางสังคมของทั้งสองห่างกันราวฟ้ากับเหว เหมือนรองเท้าหนังดำขลับกับผ้าใบสีตุ่นมีรูระบายอากาศ แต่มิตรภาพไม่เคยเปลี่ยน หนุ่ยน้อยเชื่ออย่างนั้น เขาก้มมองรองเท้าผ้าใบ นกพิราบสองสามตัวด้อม ๆ มอง ๆ รูขาด แล้วตัวหนึ่งก็จิกนิ้วก้อยของเขา มันคงคิดว่าหนอน
"โอ้ย!" หนุ่ยน้อยสะดุ้ง สะบัดเท้าหนีนกพิราบเจ้ากรรม "เดินต่อเหอะ" หันบอกเพื่อน
ทั้งสองเดินฝ่าฝูงพิราบ
"นายจำตอนเราชกกับจรูญน้อย แป้งน้ำมองเล่ยะได้เปล่า?" หนุ่ยน้อยถาม
"จำได้สิ นั่นเป็นด่านสุดท้ายก่อนนายชิงแชมป์จ้าวมวยไทย มันต้อนนายเข้ามุมแล้วเสยอัปคัต นายร่วงกองคามุม คิดว่าจบสิ้นแล้ว แต่แล้วก็มีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้โผล่มาตะโกนโหวกเหวก ทำให้นายฮึดสู้.."
"ไม่..ไม่ใช่ตอนนั้น" หนุ่ยน้อยขัด "ตอนโฆษกประกาศน่ะ"
เก็กฮวยเลิกคิ้วสูงสักครู่จึงค่อย "อ้อ" ยิ้มแฉ่งแล้วดัดเสียงหล่อแบบลุงวิเชียร นีลิกานนท์ "คู่ต่อไปนักมวยมุมแดง จูรญน้อย แป้งน้ำมองเล่ยะ"
"พี่เลี้ยงได้ยิน รีบเข้าไปกระซิบ" หนุ่ยน้อยบอก "พี่ ๆ สระอูอยู่ข้างหลัง"
เก็กฮวยยิ้มถอนมือออกจากกระเป๋ากางเกงทำท่าถือไมค์จ่อปาก "ต้องขอประทานโทษอย่างสูง โฆษกประกาศชื่อนักมวยผิดพลาด แก็ก แก็ก" เก็กฮวยส่งเสียงลอดไรฟันทำเอ็ฟเฟ็คก่อนพูดต่อ "นักมวยมุมแดงได้แก่..จร..ญูน้อย แป้งน้ำมองเล่ยะ"
ทั้งสองหัวเราะฮาฮา ฝูงนกพิราบตกใจกรูขึ้นฟ้า
เงียบสักพักเก็กฮวยจึงพูดขึ้น
"หลังจากไฟต์นั้นนายก็เดินทางถึงจุดสูงสุดในชีวิตนักมวย"
หนุ่ยน้อยพยักหน้า กำหมัดแนบแน่นดวงตาเป็นประกาย เก็กฮวยสอดมือล้วงกระเป๋าอย่างเก่า เงื้อขาเตะก้อนกรวด
"แต่ช่วงเวลานั้นผ่านพ้นไปแล้ว ถึงทำใจยาก นายต้องยอมรับมัน"
"เราจะกลับมาชนะอีก เราทำได้นายก็รู้" หนุ่ยน้อยกล่าวด้วยความเชื่อมั่น
"ไม่อีกแล้ว" เก็กฮวยบอก "อย่าหลอกตัวเองเลย ดูนายตอนนี้สิ แม้นักมวยปลายแถวก็คงตะบันนายลงไปกอง"
หนุ่ยน้อยสะอึก ตลอดมาเข้าใจไปว่าเพื่อนยังเชื่อมั่นฝีมือตน เชื่อว่าสักวันจะต้องกลับมายิ่งใหญ่บนสังเวียนอีกครั้ง หนุ่ยน้อยฝืนยิ้ม
"ไม่เอาน่า" กำหมัดปล่อยแย็บชกลมส่งเสียง "อัซซ์..อัซซ์.." แต่แล้วหัวไหล่ซ้น หนุ่ยน้อยลู่ไหล่แกว่งขยับให้เข้าที่ "ไม่เอานา..นายยังจำตอนเราเข้ากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ ได้เปล่า เราชกแพ้หมดรูป นายเป็นคนบอกให้ลุกขึ้นสู้ นายชวนเราเริ่มซ้อมใหม่ อย่าลืมต้องเป็นจ้าวมวยไทย เป้าหมายมีให้พุ่งชน นายบอกว่าเป้าหมายมีให้พุ่งชนไง" หนุ่ยน้อยขยับไหล่ปล่อยหมัดแย็บแล้วฮุก ฟุตเวิร์คย่อเข่ามุดหัวโยกตัวหลบ
เก็กฮวยตาเหม่อลอย หนุ่ยน้อยเอ่ยถาม
"เรื่องนั้นล่ะว่าไง?"
"เรื่องไร?" เก็กฮวยสะดุ้งหันมอง
"ค่าเช่าบ้าน"
เก็กฮวยถอนใจยาว "หากไม่ใช้ของเก่า เราให้ยืมเพิ่มอีกไม่ได้แล้วนะ เมียเราเอาจริงเรื่องนี้นายก็รู้ นายคงไม่อยากให้เรามีปัญหากับครอบครัวหรอกนะ"
หนุ่ยน้อยคอตก สองมือสอดเข้ากระเป๋ากางเกง เดินก้มหน้าไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี สองคนเลยเดินล้วงกระเป๋าไปด้วยกันเงียบ ๆ ฝูงนกพิราบบินกลับลงมาเดินสาละวนบนพื้นถนนซีเมนต์ ยินเสียงเอ่ยถาม
"นายกินข้าวยัง?"
"ยัง"
"เอานี่ไป หาอะไรกินซะ"
"ไม่ต้อง เราพอจะมีกิน เราแค่ไม่อยากให้ป้าแช่มผิดหวัง"
ยก 4
วัยรุ่นสองคนแบกเครื่องเล่นซีดีวางลงบนฟุตบาธข้างป้ายรถเมล์ คนหนึ่งสวมหมวกไหมพรมดำเสื้อกล้ามมีแจ็คเก็ตสวมทับ กางเกงขาสามส่วนกระเป๋าข้าง อีกคนสวมเสื้อยืดแขนยาวหลวมโพรกมีรอยสักเต็มตัว คนสวมหมวกไหมพรมเอื้อมมือกดปุ่ม เสียงเพลงเดอะบ็อกเซอร์ของไซมอนแอนด์การ์ฟังเกิลถูกเรียบเรียงเป็นดนตรีฮิบฮอบดังขึ้น วัยรุ่นทั้งสองผลัดกันขยับท่าเต้น
ข้าก็แค่ไอ้เด็กบ้านนอกเก็กฮวยแยกจากไปแล้ว หนุ่ยน้อยสาวเท้าบนฟุตบาธเลียบเลาะรั้วสวนสาธารณะ หยุดยืนดูวัยรุ่นเต้นเบรคด๊านซ์ แล้วยกนิ้วโป้ง
กับเรื่องราวที่นานครั้งจะมีคนเอ่ยถึง
เรื่องราวของการเดินทางต่อสู้ฟันฝ่า
ในกระเป๋าเต็มด้วยถ้อยคำผู้คน
คำหยอกล้อโกหกพกลม
แน่ล่ะ, เรามักได้ยินแต่สิ่งที่ต้องการฟัง
ส่วนที่เหลือ..ช่างมันเถอะ
เมื่อข้าออกจากบ้านรถเมล์เทียบเข้าป้าย หนุ่ยน้อยวิ่งไปที่ประตูหลัง ครั้นเห็นกระเป๋ายืนอยู่เขาวิ่งไปขึ้นประตูหน้า พอกระเป๋าเดินขยับตะแล็บแก็บมา เขาทำท่าว่าจะลงป้ายหน้า
ข้าไม่ใช่ทารกน้อยอีกต่อไป
ท่ามคนแปลกหน้า
หรือสถานีรถไฟฟ้าว่างคน
ความหวาดกลัวหลบซ่อนอยู่ทั่วไป
กับคนเร่ร่อนจรจัด
อาจมีที่พักสำหรับพวกเขา
คงมีแต่พวกเขาเท่านั้นที่รู้
ลา-ลัน-ล้า..
ข้าดุ่มเดินหางานศูนย์อาหารในห้างสรรพสินค้ามีคนนั่งกินอาหารแทบทุกโต๊ะ หลายโต๊ะกินเสร็จแล้วลุกขึ้น จานยังมีอาหารเหลือเกือบครึ่ง หนุ่ยน้อยกลืนน้ำลายอึ๊ก เดินตรงไปที่โต๊ะ กำลังจะถึงโต๊ะอาหาร รปภ.สองคนยืนกอดอกขวางไว้ หนุ่ยน้อยถูกหิ้วออกจากห้างสรรพสินค้า
พบแต่ความว่างเปล่า
ไม่ก็เสียงร้องเรียกของหญิงบริการบนถนนโลกีย์
บอกอย่างไม่อาย
บางครั้งเมื่อความเปลี่ยวเหงาทักทาย
ลูกผู้ชายไหนเลยนิ่งดูดาย
ลา-ลัน-ล้า..
และแล้ว..ข้าล้มตัวลงนอนในสายลมหนาว
ฝันถึงวันกลับบ้าน
พอกันที..ความเหน็บหนาวในเมืองใหญ่
พอกันที..ความหิวกระหาย
ข้าจะกลับบ้าน
เมื่อยืนบนแท่นแห่งชัยชนะของนักชก
เขาแลกมันมาด้วยอะไร
ความทรงจำของทุกหมัดที่ส่งเขาลงไปนอน
ตามหลอกหลอนทำร้ายจนร่ำไห้
ไม่ว่าขณะขุ่นแค้นหรือละอายใจ
"ข้าคงต้องร่ำลา คงต้องร่ำลา"
แน่ล่ะ..การต่อสู้ยังต้องดำเนินไป
ลา-ลัน-ล้า..
หากเป็นหนัง เสียงเพลงก็จะหยุดลงตรงนี้แล้วเปลี่ยนเป็นเสียงเครื่องยนต์ดังสับสน ถอยภาพออกมา เห็นสี่แยกไฟแดง เห็นกลุ่มคนรอข้ามถนนเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ไฟจราจรเปลี่ยนจากเขียวเป็นเหลืองชั่วแวบแล้วก็แดง กลุ่มคนก้าวไปบนทางม้าลาย กล้องเลื่อนลงแล้วตามหลังไป
หนุ่ยน้อยเดินตามเป็นคนสุดท้าย หิวแสบไส้ แต่ทำไงได้ เขามาที่ศูนย์อาหารบ่อยจนรปภ.จำหน้าได้เสียแล้ว คงต้องหากินที่ห้างฯ อื่นซึ่งไกลออกไป หนุ่ยน้อยเดินล้วงกระเป๋าก้มหน้าครุ่นคิด ก้าวพ้นถนนขึ้นฟุตบาธ เขาเดินผ่านอะไรสักอย่าง
หนุ่ยน้อยหันกลับ
ถุงมันฝรั่งทอด!
เขากลืนน้ำลายเหลียวมองไฟจราจร
ยังเป็นไฟแดง
เขาเหลียวซ้ายแลขวา ก้าวกลับไปบนถนน ก้มลงหยิบถุงกระดาษ
ยินเสียงแตรดังลั่นแสบแก้วหู
หนุ่ยน้อยหันขวับ!
กระจังหน้ารถเมล์จ่อเต็มหน้า
………
"ไง หิวมากสิท่า?"
เสียงแว่วอยู่ข้างหู หนุ่ยน้อยปรือตากลอกมองไปมา ยินตะคอก
"ลุกได้แล้ว ผมไม่มีเวลาโอ้เอ้" คนตรงหน้าฉุดมือหนุ่ยน้อยขึ้น "ไป..ไปด้วยกัน" ลากหนุ่ยน้อยออกเดิน
หนุ่ยน้อยหันรีหันขวางด้วยความมึนงง "เดี๋ยว..เดี๋ยวก่อนสิเพ่" พยายามรั้งแขนไว้ ชั่วอึดใจก็ถูกลากออกมาพ้นกลุ่มคนบนฟุตบาธ
"เพ่จะพาผมไปไหน?"
"ไม่ต้องถาม เอ้า! เอานี่ไป" ส่งถุงมันฝรั่งทอดให้
หนุ่ยน้อยคว้าหมับเทมันฝรั่งทอดใส่ปาก "ออกอุง" พูดว่าขอบคุณทั้งมันฝรั่งเต็มปาก มองชายหนุ่มที่กำลังลากมือเขาจ้ำเดิน "เอ้อังไออ้าเอื๊อนอ๋มอัง" หนุ่ยน้อยพูดว่าพี่ทำไมหน้าเหมือนผมจัง
"เหมือนแต่หล่อกว่าใช่มั้ย?" คนหน้าหล่อบอก "ผมไม่เที่ยวเอาหน้าไปให้ใครชกเหมือนคุณนี่ ดูสารรูปคุณสิ" คนหน้าหล่อมองหัวจดเท้า "เหมือนถูกหมาฟัด"
ฟังคุ้นหู แต่ไม่มีเวลาคิดว่าเคยได้ยินจากไหน หนุ่ยน้อยรีบเคี้ยวมันฝรั่งกลืนลงคอไม่งั้นพูดไม่เป็นภาษามนุษย์สักที
"เพ่จะพาผมไปไหน?" หนุ่ยน้อยยื้อแรงมือ "หากไม่บอกผมไม่ไปกับเพ่หรอก"
"เลิกทำตัวงี่เง่าซะที!" คนหน้าหล่อตวาด "วัน ๆ เอาแต่หลอกตัวเองว่าเป็นแชมป์มวย คุณมันก็แค่ไอ้ขี้แพ้ข้างถนน"
"ผมเป็นแชมป์จริง ๆ ไม่ได้หลอก" หนุ่ยน้อยเถียง
"นั่นมันกี่ปีมาแล้ว" คนรูปหล่อตวาดซ้ำ "กี่ปีมาแล้วที่เสียแชมป์ อีกกี่ปีที่รอทวงคืนแล้วแพ้กลับมา กับอีกกี่ปีที่เป็นนักชกข้างถนน สักวันหากไม่ถูกรถชนเหมือนหยั่งตะกี้คุณก็คงถูกชกตายข้างถนน ไม่ต่างกันซักเท่าไร"
คนหน้าหล่อพูดพลางฉุดหนุ่ยน้อยเลี้ยวเข้าซอย เลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวา เลี้ยวขวาแล้วเลี้ยวซ้าย มาหยุดยืนหน้าอาคารหลังใหญ่ หนุ่ยน้อยตะลึงอ้าปากค้างมองโปสเตอร์ยักษ์หน้าอาคาร
"สนามมวย!" หนุ่ยน้อยอุทาน
"ใช่! สนามมวย เราเข้าไปด้วยกัน" คนรูปหล่อลากหนุ่ยน้อยเข้าไป
ภายในสลัวติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ยินเสียงเชียร์ดังลั่น กลิ่นสาบนวมฟุ้งมากับทุกอณูอากาศ ปรับสายตาสักครู่จึงเห็นสภาพภายใน ผู้คนทั้งยืนทั้งนั่งชูไม้ชูมือ ขณะนักมวยบนเวทีแลกหมัดเท้าคลุกวงในไม่หายใจหายคอ
คนรูปหล่อพาหนุ่ยน้อยมาหยุดยืนบริเวณริงก์ไซด์ กอดอกมองนักมวยทั้งคู่กอดรัดแย่งจังหวะตีเข่า
"ใครเหนือกว่า?" คนรูปหล่อถาม
"เดี๋ยวซี่" หนุ่ยน้อยบอก ตาจ้องนักมวยเขม็ง
ทั้งคู่ถูกกรรมการแยกจากกัน ทันทีกรรมการสับมือ ทั้งสองโผเข้ากอดรัดตีเข่าอีกครั้ง ฝ่ายน้ำเงินเงื้อเข่าแต่ถูกฝ่ายแดงกระชากคอเสียหลักเซถลาล้ม ฝ่ายแดงอัดเข่าตามลงไป เสียงระฆังหมดยก
"แดงหมดแรงแล้วแต่กระดูกมวยเหนือกว่า น้ำเงินแพ้แน่" หนุ่ยน้อยบอก
คนรูปหล่อส่งเสียงหึหึในลำคอ กอดอกมองนักมวยบนเวที
สิ้นเสียงระฆังเสียงต่อรองรอบเวทีดังลั่น หนุ่ยน้อยเหลียวมองไปมา เห็นแล้วครึ้มใจ บรรยากาศหยั่งงี้นี่เองที่เป็นลมหายใจของเรา วันเวลาที่เคยแลกหมัดแลกเข่าอยู่ใต้แสงไฟสว่างจ้าคล้ายเพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี่เอง เผลอกำหมัดแน่น ความรู้สึกฮึกเหิมพรั่งพรูขึ้นจากภายในราวจะปะทุออก เสียงระฆังดังลั่นพร้อมเสียงประกาศ
“ยกสุดท้าย”
นักมวยฝ่ายน้ำเงินรู้ตัวว่าเป็นรอง เร่งเดินเร็วเข้าทำ แต่ถูกฝ่ายแดงดักต่อยดักเตะจนเข้าใกล้ไม่ได้ ยิ่งเดินยิ่งเจ็บตัว น้ำเงินเดินเหยียดสองมือหวังคว้าปล้ำคลุกวงในให้ฝ่ายตรงข้ามหมดแรง แต่โดนหมัดเหวี่ยงเข้ากกหูเซถลา ฝ่ายแดงไม่ทิ้งโอกาส ไล่ชกต้อนเข้ามุม
"คุณมั่นใจว่าแดงชนะแน่?" คนรูปหล่อถาม
"อืมม์" หนุ่ยน้อยพยักหน้า ตาจับที่นักมวยทั้งคู่
"คุณต้องช่วยให้น้ำเงินชนะ"
"อะไรนะ!" หนุ่ยน้อยไม่เชื่อหู
"ได้ยินชัดแล้วนี่" คนรูปหล่อบอก "คุณต้องช่วยให้ฝ่ายน้ำเงินชนะ"
"ผมไปเกี่ยวอะไรกับเขาด้วยล่ะครับคุณเพ่" หนุ่ยน้อยยียวน
"คุณดูให้ดี ๆ สิ" คนรูปหล่อบอก
ฝ่ายน้ำเงินถูกต้อนเข้ามุม ถูกชกเซไปมาแต่ยังยกการ์ดสูงปิดคางไว้ ทันใดฝ่ายแดงเสยอัปคัตทะลุการ์ดเข้าปลายคาง ฝ่ายน้ำเงินหน้าหงายกระแทกเสาเวทีร่วงลงบนผืนผ้าใบ
หนุ่ยน้อยเพ่งมองแล้วร้องลั่น "เฮ้ย! นั่นมัน!" เผ่นพรวดไปขอบเวทีทันที
กรรมการกันนักมวยฝ่ายแดงเข้ามุมแล้วเริ่มนับ
"หนึ่ง!"
หนุ่ยน้อยปากสั่นคอสั่น "ลุก! ลุกขึ้นสิวะ!
นักมวยฝ่ายน้ำเงินแน่นิ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้น
เสียงกรรมการนับ
"สาม!"
หนุ่ยน้อยชะโงกเข้าใกล้ขอบเวที
"ฟังนะโว้ยไอ้หนุ่ย" บอกไปก็ยังงง ๆ ว่ามันอะไรกันวะ "มึงไม่ได้มีดีอะไร ฝีมือก็ยังงั้น ที่มึงมีคือความมุ่งมั่น หากยังทะลึ่งนอนอยู่ยังงี้มึงแพ้แน่ แค่นี้ไม่ผ่านจะเอาปัญญาที่ไหนไปชิงแชมป์ ที่มึงหมั่นฝึกมวยแต่เล็กทนระกำลำบากก็เพราะอยากเป็นแชมป์ไม่ใช่เรอะ"
เสียงกรรมการนับ
"หก!"
นักมวยฝ่ายน้ำเงินขยับตัวใช้หมัดยันพื้น สะบัดหัว
เสียงกรรมการนับ
"เจ็ด!"
"ไอ้แดงมันหมดแรงแล้ว มึงเดินเข้าไปให้มันชก เดินเข้าไป กูขอแค่หมัดเดียว หมัดเดียวเท่านั้นได้ยินมั้ยไอ้หนุ่ย หมัดเดียวเอาให้ตรงปลายคาง!" หนุ่ยน้อยตะโกนลั่น
กรรมการหยุดนับเดินเข้าจับนวมนักมวยมุมน้ำเงิน นักมวยพยักหน้าโต้ตอบ กรรมการสับมือให้ชกต่อ ฝ่ายแดงวิ่งเข้ามาประเคนหมัดไม่ยั้ง ฝ่ายน้ำเงินเอาแต่ยกการ์ดปิดป้องเซไปเซมา เสียงสัญญาณรัวใกล้หมดยก ฝ่ายแดงชกจนหมัดชาไม่อาจส่งฝ่ายตรงข้ามลงไปนอนให้กรรมการนับ แต่แล้วมีหมัดสวนมาโดยไม่รู้ทิศทาง ตรงเข้าปลายคางเต็มเหนี่ยว กรามสั่นตาค้างร่วงกลางอากาศ
กรรมการกันนักมวยฝ่ายน้ำเงินเข้ามุมแล้วเริ่มนับ นักมวยฝ่ายแดงแน่นิ่งไม่ไหวติงจนนับถึงสิบ
กรรมการตรงไปชูมือนักมวยมุมน้ำเงิน เสียงโฆษกประกาศ
"หนุ่ยน้อย ลูกแม่ลำเภาเป็นฝ่ายชนะ"
หนุ่ยน้อยข้างเวทีตะลึงชั่วครู่แล้วกระโดดตัวลอยร้องลั่น "ให้มันได้ยังงี้สิวะ!" หันกลับไปมองคนรูปหล่อ เขากอดอกยิ้มพยักหน้าแล้วค่อย ๆ เลือนหายไป
ยก 5
หนุ่ยน้อยผวาตื่น รีบยันตัวนั่งพิงข้างฝา ขมวดคิ้วมองสายน้ำเกลือเสียบบนหลังมือ พยาบาลถือฟิล์มเอ็กซเรย์เดินยิ้มเข้ามา
"รู้สึกตัวแล้ว กระดูกแข็งจริงนะคะ โดนชนขนาดนั้นยังไม่เป็นไร"
"ผม.." หนุ่ยน้อยยิ้มหน้าเจื่อน ยังสับสนปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูก
"คุณถูกรถเมล์ชน มีรอยฟกช้ำเพิ่มขึ้นนิดหน่อย" พยาบาลเสียบซองฟิล์มไว้ปลายเตียง "อันที่จริงรอยเก่าของคุณหนักเสียกว่าของใหม่ ก่อนหน้าคุณคงโดนสิบล้อชนมาใช่มั้ยคะ?"
หนุ่ยน้อยกลืนน้ำลายอึ๊ก ฝืนยิ้มถามว่า "งั้นผมกลับบ้านได้เลยใช่มั้ยครับ?"
"ค่ะ" พยาบาลตอบ "รอน้ำเกลือหมดถุง แล้วคุยกับตำรวจท้องที่นิดหน่อยคุณก็กลับบ้านได้เลย"
"เรื่องค่าใช้จ่าย?”
"เรื่องนั้นทางขสมก. เค้าจัดการให้หมดแล้วค่ะ"
หนุ่ยน้อยส่งยิ้มหวานจ๋อยให้คุณพยาบาล แล้วท้องเจ้ากรรมก็ทำขายหน้า ส่งเสียงร้อง “โครก!"
"กินอะไรสักหน่อยก็ดีค่ะเดี๋ยวดิฉันไปเอามาให้"
พยาบาลเดินออกจากห้อง หนุ่ยน้อยนั่งยิ้มค้าง หากมีพยาบาลเสียงหวานใจดียังงี้คอยดูแลทุกวันก็ดีสินะ
เช้าวันต่อมา หนุ่ยน้อย ลูกแม่ลำเภาอดีตแชมป์เปี้ยนมวยไทยศึกปลากระป๋องปุ้มปุ้ยเกริกไกรก็เก็บเสื้อผ้าอำลาป้าแช่มกลับบ้านนอก โดยไม่ลืมสัญญาว่าจะกลับมาจ่ายค่าเช่าให้ครบทุกบาททุกสตางค์ ป้าแช่มตรวจเช็คแล้วมุขนี้ใหม่ไม่เคยใช้มาก่อนคงเชื่อถือได้จึงปล่อยไป ทั้งยังออกเงินค่ารถกลับบ้านให้ด้วย
เมืองใหญ่เต็มด้วยตึกสูงเป็นคล้ายกำแพงขังเขาไว้เสียหลายปี แต่ครั้นตัดใจได้ ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีรถบัสคันใหญ่ก็พาเขาออกสู่ท้องไร่ท้องนา หนุ่ยน้อยหรี่ตาท้าวแขนทาบขอบหน้าต่าง สายลมชนบทพรูมาทักทายพาเส้นผมพัดพลิ้วปลิวไหว รอยบวมช้ำเลือดช้ำหนองทุเลาแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาคล้ายหนุ่ยอำพล ลำพูนค่อย ๆ กลับคืนมา
หนุ่ยน้อยทอดตามองต้นไม้ข้างทางเคลื่อนไปหลังขณะรถเคลื่อนไปหน้า
ขอเวลาสักสองสามปี เขาจะกลับมา..กลับมาพร้อมนักมวยสายเลือดใหม่ที่เขาปลุกปั้น นักชกที่จะทวงตำแหน่งจ้าวมวยไทยมาอยู่ในมือของนักมวยค่ายลูกแม่ลำเภาอีกครั้ง
บัสคันใหญ่แล่นไปบนถนนชนบทตรงยังทิวเขาเบื้องหน้า นำพาความหวังความฝันของอดีตแชมป์จ้าวมวยไทยศึกปลากระป๋องปุ้มปุ้ยเกริกไกรออกเดินทาง เสียงเพลงจากเครื่องเล่นซีดีของวัยรุ่นนักเต้นข้างถนนแว่วมากับสายลม
และแล้ว..ข้าล้มตัวลงนอนในสายลมหนาว
ฝันถึงวันกลับบ้าน
พอกันที..ความเหน็บหนาวในเมืองใหญ่
พอกันที..ความหิวกระหาย
ข้าจะกลับบ้าน
เมื่อยืนบนแท่นแห่งชัยชนะของนักชก
เขาแลกมันมาด้วยอะไร
ความทรงจำของทุกหมัดที่ส่งเขาลงไปนอน
ตามหลอกหลอนทำร้ายจนร่ำไห้
ไม่ว่าขณะขุ่นแค้นหรือละอายใจ
"ข้าคงต้องร่ำลา คงต้องร่ำลา"
แน่ล่ะ..การต่อสู้ยังต้องดำเนินไป
ลา-ลัน-ล้า..
จบ
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น