1
ความทรงจำอาจเป็นของขวัญสำคัญจากพระเจ้า ของขวัญให้จำเพาะกับมนุษย์ผู้เป็นบุตรสุดรักของพระองค์ กับพวกหมู หมา กา ไก่ ผมไม่มั่นใจว่าพวกมันจะมีความทรงจำหรือไม่ เท่าที่เห็นพวกมันมีก็แต่สัญชาตญาณ ไม่เคยพบว่าพวกมันจะมีท่าทีจดจำ นั่งมองฟ้าตาลอยหวนรำลึกวันคืนเก่า ๆ หรือคนรักเก่า
ความทรงจำเป็นสิ่งสวยงามหนึ่งเดียวที่คงเหลือขณะทุกสิ่งทุกอย่างพังพินาศ ไม่ก็เลื่อนลับดับสูญไปกับวันเวลา เป็นของขวัญล้ำค่าหนึ่งเดียวที่มนุษย์ผู้สามารถฟันฝ่าชะตากรรมจนล่วงวัยชราสามารถส่งต่อให้มนุษย์หนุ่มผู้มาทีหลัง บางความทรงจำน่าจดจำน่ารำลึกถึง เช่นกัน ยังมีอีกหลายความทรงจำที่เราอยากลบทิ้ง เป็นเรื่องของความล้มเหลว ผิดหวัง ความผิดพลาดในอดีตซึ่งเราไม่อาจกลับไปแก้ไข ความทรงจำเช่นนี้จะเป็นคล้ายเหล็กแหลมคอยทิ่งแทงใจเราทุกครั้งที่คิดขึ้นมา
ผมในวัย 8-9 ขวบไม่ถึงกับซนจนพ่อ-แม่ต้องปวดหัว แต่วีรกรรมก็ไม่น้อย ตอนวัยนั้นกลัวมากกับโดนหวด เจอแต่ละทีปวดแสบปวดร้อน น่องบวมแดง โดนน้ำไม่ได้ไปหลายวัน โดยมากเป็นความผิดโดนจับคาหนังคาเขา แม่บอกให้เฝ้าบ้านกลับทิ้งหน้าร้านเผ่นไปเพลินเล่นกับเพื่อน ๆ ไม่ก็เลิกเรียนเล่นบอลเพลินลืมกลับบ้านจนฟ้ามืดค่ำ กลับถึงบ้านโดนหวดน่องโป่งไม่เว้นวัน แต่ไม่เคยเข็ด
การที่คนเราทำความผิดและโดนลงโทษเป็นเรื่องดี ดีกว่าทำผิดแต่ซุกเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้ ไม่ก็รอดโทษทั้งรู้ว่าผิด
จำได้ว่าวัยนั้นกลัวมากกับไม้เรียว (ไม่มีผลกับการกระทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง) กลับบ้านมืดแต่ละค่ำสวดภาวนาขอให้แม่อารมณ์ดี อย่าลงไม้ลงมือเฆี่ยนตีเลยเจ้าประคุณ เปล่า..คำสวดอ้อนวอนไม่เคยได้ผล ผมโดนจนขาเต้นระบำร้องไห้จ้า ปากก็ร้องตอบ
"ไม่ทำแล้ว!"
"ไม่กลับมืดอีกแล้ว!"
วันต่อมาเหมือนเดิม (ดูเหมือนผมจะรักเล่นมากกว่ากลัวไม้เรียว) ความผิดพวกนี้ไม่อยู่ในความทรงจำ คล้ายกับว่าเมื่อโดนลงโทษทุกอย่างเข้าที่เข้าทางของมันเรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องจดจำอีก ต่างกับความผิดที่แอบกระทำ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้และไม่มีใครเอาผิด ความผิดประเภทนี้ถูกซุกฝังอยู่ในใจจำไม่ลืมลบเท่าไรก็ไม่ออก
2
พวกเรามีกัน 4 คน ใช้สนามเด็กเล่นร้างหน้าอำเภอเก่าเป็นที่ประชุมทุกเย็น วาระการประชุมโดยมากไม่มีอะไร ไล่เตะบอลพลาสติกกัน แบ่งข้างละสอง ใช้เสาเหล็กผุ ๆ พัง ๆ ในสนามเด็กเล่นเป็นประตู พวกเราตัวเล็กไล่เตะสู้พวกเด็กโตในสนามโรงเรียนไม่ไหวเลยหลบมาเล่นที่นี่
หลังจากอำเภอย้ายไปที่ใหม่ อาคารเก่าถูกปิดตาย กลางคืนกลายเป็นที่สุมหัวของพวกวัยรุ่นขี้ยา สนามหญ้าหน้าอำเภอรกหญ้าสูงพ้นหัวพวกเรา เราแหวกลุยเข้าไปคล้ายได้ผจญภัยในป่าลึก พบว่าหญ้าขึ้นปกคลุมที่เคยเป็นสนามเด็กเล่น อุปกรณ์หักพังผุกร่อน แต่บางอย่างยังเล่นได้ อย่างม้าโยก แม้จะฝืดนิดหน่อยกระดานไม้รองนั่งถูกปลวกกินห้อยต่องแต่ง พวกเราดึงแผ่นไม้ออกเหลือแต่โครงเหล็กเปลือยใช้โยกเล่นได้ไม่เลว ม้าหมุนใช้งานไม่ได้ มันติด ดันเท่าไรไม่ไป
"ออกแรงหน่อยเซ่!"
ไอ้หนวดตะโกนสั่ง ก้มหน้าก้มตาดันจนหน้าแดงเป็นมะอึกสุก ไอ้หนวดมันก็ 8-9 ขวบวัยเดียวกับพวกเรา มันไม่มีหนวดแน่ ไม่รู้ทำไมแม่มันจึงตั้งชื่อว่าหนวด มันเป็นคนอยากเล่นม้าหมุนมากกว่าใคร เราดันจนม้าหมุนขยับ
"ขยับแล้ว!" ไอ้หนวดตะโกนลั่น
พวกเราที่เหลือเร่งออกแรงสุดกำลัง ม้าหมุนขยับจริง ๆ แต่แทนขยับหมุนรอบตัวกลับขยับหลุดออกจากฐานเอียงเค้เก้ ทำเอาไอ้ยอดหน้าคะมำ ไอ้ยอดตัวโตกว่าใคร มันคงออกแรงมากสุดพอเสียหลักเลยเป็นมันที่เจ็บสุด แขนมันครูดสนิมเหล็กเลือดซึมเป็นทาง พวกเรายืนตะลึง ผมเองถึงจะไม่อยากเล่นม้าหมุนสักเท่าไร แต่หากยังใช้งานได้ก็ไม่เลว แต่ตอนนี้มันเอียงกะเท่เร่หมดหวังใช้งาน
ผมเหลียวมองอุปกรณ์ชิ้นอื่น
แผ่นเหล็กของกระดานลื่นฉีกขาด คานห้อยโหนเหลือแต่เสาสองข้าง ท่อเหล็กตรงกลางถูกสนิมกินจนขาดจากกัน ชิงช้าเหลืออยู่อันเดียว ที่เหลือมีแต่โซ่ต่องแต่งไม้กระดานหายหมด ผมวิ่งตรงไปลองกดกระดานชิงช้า กระดานโยกยึกยักตามแรงมือ โซ่ส่งเสียงเอี๊ยด ๆ ผมนั่งลงเบา ๆ แล้วยกขา ตัวลอยหลุดจากโลก! ชิงช้าโยกขยับ ผมในวัยนั้นไม่รู้หรอกว่าแรงโน้มถ่วงเป็นอย่างไร ตอนขาหลุดลอยจากพื้น ตัวโยกย้ายอยู่เหนือโลกเป็นความรู้สึกอิสระเสรี หลุดพ้นจากพันธนาการ คงเป็นสัญชาตญาณชนิดหนึ่งของมนุษย์ที่พยายามไปให้พ้นจากข้อจำกัดข้อผูกมัดทั้งมวล ลอยอยู่เหนือโลกเป็นเรื่องสุขใจประหลาด (ทั้งที่พ้นแค่ปลายเท้าก็เถอะ) ผมชักสงสัยว่าชิงช้านี่เองเป็นเครื่องกำเนิดความใฝ่ฝันอยากบินของมนุษย์
"ใช้ได้เว้ย!" ไอ้หนวดตะโกนวิ่งมาคว้าสายโซ่แล้วโหนขึ้นยืนคล่อมหลังผม "เฮ้ย พวกนายช่วยผลักที" มันร้องบอกไอ้ยอดกะไอ้ถาพร
เพื่อนทั้งสองจับสายโซ่คนละเส้นดันออกไป เราสูงขึ้นเรื่อย ๆ
"อีก! อีก!" ไอ้หนวดร้องบอก
ผมใจเต้นตึ้กสองมือกำโซ่ไว้แน่น กระดานนั่งโยกยึกยักด้วยความที่ขาไอ้หนวดมันสั่น โดยไม่บอกกล่าว ไอ้ถาพรปล่อยมือก่อนไอ้ยอดปล่อยตาม ความที่ปล่อยไม่พร้อมกันกระดานโยกย้ายไปมาเป็นเลขแปด ไอ้หนวดหัวเราะลั่น ผมเกร็งตัวมือยึดโซ่ ก้นผมหลุดจากกระดาน โดดวิ่งหลบขนลุกซู่กลัวกระดานเหวี่ยงโดนหลัง ไอ้หนวดยืนโหนชิงช้าหัวเราะร่า
เราช่วยกันถอนหญ้าได้พื้นที่พอใช้เตะบอล เป็นสนามบอลที่ต้องใช้ทักษะสูงเพราะนอกจากเลี้ยงหลบฝ่ายตรงข้ามยังต้องเลี้ยงหลบอุปกรณ์เด็กเล่น ประตูของอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ตรงข้ามแต่เป็นเสาเหล็กอีกฝั่งของสนามเด็กเล่น ผมถูกจับคู่กับไอ้ยอดเพราะมันตัวใหญ่สุดผมตัวเล็กสุด ไอ้หนวดคู่ไอ้ถาพร ผลัดกันแพ้ชนะ เล่นกันทุกวันไม่เบื่อ
ครั้งหนึ่งข้างผมเป็นฝ่ายตาม 5-2 (เกมที่สิบประตู ใครแพ้ต้องโดนเตะอัด) ไอ้ยอดทุ่มเทเอาเป็นเอาตาย
"นายเฝ้าประตู" มันสั่งผมแล้วเลี้ยงบอลบุกเดี่ยว วันนี้ไอ้สองคนนั่นเล่นดีเป็นพิเศษ ไอ้ยอดหลบไอ้หนวดไปได้แต่ไม่พ้นไอ้ถาพร บอลถูกส่งให้ไอ้หนวด มันทั้งสองวิ่งขึ้นมาผมถอยกรูดกะอุดประตู ไอ้หนวดยิง ผมยื่นขากันไว้ได้บอลกระเด็นออกไป ไอ้ถาพรวิ่งไปเก็บพาลากเข้ามา เงื้อจะยิงซ้ำ ไอ้ยอดวิ่งกลับลงมาทันอัดบอลเต็มแรง
เสียงดังโป๊ะ!
สองคนเตะพร้อมกัน บอลแตกแบนแต๋ พวกเราหน้าสลด
เลิกเล่นแต่ฟ้ายังสว่าง จะซื้อบอลลูกใหม่ตังค์ก็ไม่พอ โหนคานสนิมกันสักพักไอ้ยอดร้องบอก
"กลับเหอะ"
คว้ากระเป๋าพากันเดินกลับบ้าน
"นายไม่น่าอัดแรงยังงั้น" ไอ้หนวดบ่น
"ไอ้ถาพรตังหากอัดสวนมา" ไอ้ยอดเถียง
"ก็กำลังจะยิง" ไอ้ถาพรเสียงอ่อย
"ทีหลังใครทำแตกคนนั้นจ่ายครึ่งนึง" ไอ้หนวดออกความเห็น
"เราไม่ได้ทำแตก" ไอ้ถาพรเถียง
"เออ ๆ ใครอัดบอลต้องรับผิดชอบ สองคนที่ทำแตกต้องซื้อลูกใหม่ชดใช้" ไอ้หนวดพูดเองเออเอง "พรุ่งนี้ไอ้ยอดกะไอ้ถาพรหุ้นกันซื้อบอล"
"พรุ่งนี้ตังค์ไม่พอ" ไอ้ถาพรเสียงจ๋อยเหลียวมองไอ้ยอดทีขอความช่วยเหลือ
"เราก็ไม่พอ" ไอ้ยอดจ๋อยอีกคน
ไอ้หนวดส่งเสียงชิกชักมองคนโน้นทีคนนี้ที ทำอะไรไม่ได้เงื้อขาเตะก้อนกรวด พวกเราเตะบอลกันเหมือนมีอะไรสักอย่างกระตุ้นจากภายใน วันไหนไม่ได้เล่นเป็นหงุดหงิดออกอาการเหมือนที่ไอ้หนวดกำลังเป็น
"เอางี้" ผมคิดอะไรขึ้นได้
ทุกคนหยุดเดินหันมองผมเป็นตาเดียว ผมไม่ค่อยมั่นใจความคิดหรอกแต่น่าจะพอมีหวัง ดีกว่าพรุ่งนี้ไม่มีบอลให้เตะแน่ ๆ
"ลองไปหาที่กองขยะลุงแบน"
ทุกคนตาโต
3
ลุงแบนใช้รถเข็นคันเดียวเป็นอุปกรณ์ทำมาหากิน เดินรื้อถังขยะเก็บทุกอย่างที่ขวางหน้า เก็บทุกอย่างที่คนทิ้งไว้ข้างทาง (บางครั้งเจ้าของแค่วางไว้หน้าบ้านหากลุงแบนผ่านมาแกก็จะคว้าหมับ) แกเก็บไปรวบรวมไว้ที่ใต้สะพานคอนกรีตข้ามคลอง จากกองเล็ก ๆ ค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น เทศบาลคงเห็นว่าขืนปล่อยไว้ลุงแบนอาจจะยึดสะพานเป็นบ้านเลยไล่ที่ ลุงแบนย้ายไปไม่ไกล ได้ที่ของลุงสุขเพื่อนกัน มุงเพิงหมาแหงนขึ้นมา คราวนี้ไม่มีใครขัดขวาง ไม่นานกองขยะเล็ก ๆ ก็กองพะเนินจนแทบกลายเป็นโกดังของเหลือใช้ ไม่ว่าคิดหาอะไร มาด้อม ๆ มอง ๆ แถวกองขยะลุงแบนเป็นเจอ
"แกไม่อยู่เรอะ" ไอ้หนวดตั้งข้อสังเกตตอนเรามุดรั้วลวดหนาม
"เย็น ๆ แกนั่งกินเหล้าที่ร้านยายตุ่นโพล้เพล้โน่นล่ะถึงกลับ" ผมบอก
"นายรู้ได้ไง" ไอ้ยอดมักจะรอบคอบกว่าใครเสมอ
"เราเดินผ่านร้านยายตุ่นทุกวัน" ผมมั่นใจ
พวกเราแนบตัวเลียดไปกับหญ้าใช้นิ้วชี้ประกบนิ้วโป้งจับลวดหนามดันขึ้นให้พ้นตัว ยันขาถีบตัวผ่านเข้าในเขตกองขยะลุงแบน เสียงหมาเห่าทำเอาขนลุกเกรียว พวกเรานอนนิ่งตัวแข็งเหลียวมองกันเลิ่กลั่ก รอสักพักเสียงก็เงียบไป พวกเราลุกขึ้นแยกย้ายกันคุ้ยหาเป้าหมาย
ข้าวของวางกองเป็นเนินเตี้ย ตั้งแต่ขวดน้ำพลาสติกยันโถชักโครก ถังแตก ท่อพีวีซี หม้ออลูมิเนียม แกลลอน รองเท้าแตะ รองเท้าหนัง กองขยะพวกนี้เป็นคล้ายแม่เหล็กดูดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้คนใช้มาสุมรวมไว้ด้วยกัน ได้ยินเสียงป๊องแป๊ง ผมหันขวับ ไอ้หนวดเตะกระป๋องนมขวางทาง
"เฮ้ยดูนี่!" ไอ้ถาพรยืนบนเนินขยะตะโกนชูไม้ปิงปองแผ่นยางพะงาบ "ใครเอามั่ง?"
"อย่าเสียเวลา หาลูกบอล" ไอ้หนวดสั่ง
ผมเห็นแล้ว กำลังจะเอื้อมหยิบขนทั่วตัวก็ลุกซู่
"เฮ้ย! เข้ามาทำอะไรกันวะ!"
ไม่รอให้เรียกซ้ำ พวกเราเผ่นคนละทิศละทาง ผมวิ่งเหยียบกระป๋องนมหน้าถลำซวนเซเลี้ยงตัวไปหน้าได้นิดเดียวก็ล้มโค่โร่ อะไรสักอย่างปลิววืดเฉียดหัวเส้นยาแดง ใจเต้นตึ้กมือไม้สั่น ตะเกียกตะกายโกยสี่ขา วิ่งมุดลวดหนาม
"อย่าให้กูจับได้นะเว้ย ไอ้พวกเด็กผี! กูเอาตาย!" ลุงแบนตะโกนไล่หลัง
พวกเราหน้าตาตื่นเสื้อนักเรียนเละเทะ เสื้อไอ้ยอดขาดเป็นทางมีเลือดซิบ ไม่มีใครสนใจ มันเองก็ไม่สนใจ ยืนหอบโฮ่งมองหน้ากัน
"ใครได้มาบ้าง" ไอ้หนวดถาม
ทุกคนเงียบ ไอ้ถาพรย่อเข่าคลานสี่ขาแหวกพงหญ้า สักพักมันชูลูกบอลพลาสติกขึ้น พวกเรากระโดดตัวลอยส่งเสียงเฮ
แสงตะวันกำลังจะลับ ขอบฟ้าส้มเรือง เงาดำของลูกบอลลอยไปลอยมาอยู่บนฟ้า ลืมสนิท กลับบ้านมืดอีกแล้วยังมีเรื่องน่ากลัวรออยู่ที่บ้าน
4
เลิกเรียนวันต่อมาพวกเราไปที่สนามเด็กเล่นเหมือนเคย แต่คราวนี้ต้องหยุดยืนแต่ไกล ลุงแบนกำลังเลื่อยโครงเหล็กอุปกรณ์เด็กเล่น พวกเรามองหน้ากัน ไอ้หนวดลุกลนรื้อกระเป๋านักเรียนเอาหนังกะติ๊กออกมา
"นั่นน่ะเป็นของเล่นพวกเรา ปล่อยให้มันเอาไปขายไม่ได้!" ไอ้หนวดขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นำมุดพงหญ้าแหวกเข้าไปใกล้
คานห้อยโหนสนิมกินช่วงกลางถูกเลื่อยขาตัดออกไปข้างหนึ่งแล้ว ตอนนี้กำลังลงมือเลื่อยม้าหมุน รถรุนประจำตัวลุงแบนมีเศษเหล็กกองสุม ไอ้หนวดล้วงกระเป๋ากางเกง เอาลูกนูออกมาสอดหนังรองเอียงคอหรี่ตาเงื้อเล็งแล้วยิง
เข้าเป้า!
ลูกนูโดนหัว ลุงแบนมือกุมท้ายทอยร้องลั่น
"ใครวะ!"
พวกเราก้มหัวมุดป่าหญ้า รอสักพักไอ้หนวดสอดลูกนูชะเง้อดู คราวนี้มันดึงสายยางสุดแรง ลูกนูโป๊ะโดนหัวอีก แต่เที่ยวนี้มีท่อนเหล็กสวนกลับมา เสียงดังป๊อง! ไอ้ยอดร้องอ๋อยมือกุมหน้าผาก ผมใจหายรีบขยับเข้าไปข้างมัน ไอ้ยอดปล่อยมือออกช้า ๆ หน้าผากบวมเป่ง
"พวกมึงอีกแล้ว!" ลุงแบนตะโกนชี้ท่อนเหล็กในมือ
"เออ จะทำไม!" ไอ้หนวดลุกยืนเงื้อยิงหนังกะติ๊ก
ลุงแบนย่อตัวหลบคลานไปที่รถเข็น คราวนี้ท่อนเหล็กปลิวหาพวกเรายังกะกระสุนปืนครก พวกเราวิ่งหลบออกมาให้พ้นรัศมี ลุงแบนยืนชี้ท่อนเหล็ก
"ลูกอีศรี เดี๋ยวกูจะไปบอกแม่มึง"
"ขี่ม้าสามศอกไปบอกไว ๆ"
ไอ้หนวดตะโกนสวน คราวนี้ลุงแบนวิ่งปา ท่อนเหล็กปลิววืดข้ามหัว พวกเราโกยอ้าว
5
"ไปบอกตำรวจดีมั้ย?" ไอ้ถาพรเสนอ
"จะบอกว่าไง ไม่มีใครสนใจสนามเด็กเล่นร้างนั่นอยู่แล้ว" ไอ้ยอดนั่งมือกุมหัวโนส่งเสียงอูย
"แต่พวกเราพบมัน มันเป็นของเรา ปล่อยให้ลุงแบนเอาไปขายไม่ได้" ไอ้หนวดเล็งกิ่งมะขามเทศยิงหนังกะติ๊ก
"เอาไงดีไอ้นนท์" ไอ้หนวดหันมาถามผม "นายเจ้าความคิด ต้องมีความคิดดี ๆ สักอย่างล่ะนา"
ผมอึกอัก เหมือนพวกเพื่อนส่งก้อนหินลูกใหญ่ให้ผมรับแล้วบอกว่าฝากถือไว้ด้วย ถือไว้ก็หนักวางก็กลัวพวกเพื่อน ๆ จะผิดหวัง ผมเองก็ไม่อยากเสียสนามเด็กเล่นของเราไป ต้องรีบคิดรีบจัดการเสียด้วย รอนานลุงแบนตัดเครื่องเล่นพวกนั้นเป็นชิ้น ๆ แน่
"ไป!" ผมบอกพวกเพื่อนแล้วออกวิ่งทันที
"ไปไหน?" ไอ้หนวดร้องถามวิ่งตามกันมา
"ไปกองขยะลุงแบน"
เย็นวันนั้นไฟลุกโพลง ควันโขมงท่วมฟ้าก่อนตะวันจะลาลับ พวกเราจุดไฟเสร็จแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน เราเผาป่าหญ้าคาข้าง ๆ กองขยะ คิดว่าเมื่อลุงแบนเห็นแกต้องเลิกตัดเหล็กรีบไปดูข้าวของแก รู้เมื่อเช้าวันต่อมาว่าลมพัดไปทางกองขยะ เปลวไฟลามลุกท่วม พวกพลาสติกเป็นเชื้อเพลิงชั้นดียิ่งลุกลามใหญ่โต กองขยะลุงแบนเรียบเหลือแต่ซาก พวกเราได้แต่สบตากัน พอเลิกเรียนต่างคนต่างกลับบ้าน ไม่กล้าไปเล่นที่สนามเด็กเล่นร้างอีก
6
ไม่มีใครรู้ว่าเป็นฝีมือพวกเรา พวกเราก็ไม่พูดถึงมัน ผมไม่กล้าจับไฟแช็กเสียนาน นานจนผมลืมเรื่องที่พวกเราก่อไว้หมดแล้ว พอลืมได้ก็เป็นเรื่องดี ไม่มีความรู้สึกผิดอะไรหลงเหลือให้ต้องลำบากใจ แม่ไปตลาดสั่งผมให้เฝ้าหน้าร้านเหมือนเคย ร้านขายของชำเล็ก ๆ บ้านนอก ลูกค้าหลักเป็นเด็ก ๆ รุ่นเดียวกับผม เวียนไปเวียนมาซื้อขนมซองกินกันทั้งวัน
"ไอ้นนท์! ไอ้นนท์!"
เสียงไอ้หนวดตะโกนเรียกมาแต่ไกล ผมโจนออกหน้าร้าน ไอ้หนวด ไอ้ยอด ไอ้ถาพรวิ่งหน้าตื่นมา ผมชักสังหรณ์ใจ
"ไอ้นนท์" ไอ้หนวดเหงื่อท่วมตัว "ไปเร็ว! ไปเร็ว!" มันคว้าแขนลากผมออกวิ่ง
"ไปไหน?"
ผมร้องถามแขนถูกลากเลยต้องวิ่งตามพวกเพื่อนไป เหลียวมองหน้าร้านรู้ตัวว่าโดนตีอีกแน่ ไม่มีใครพูดอะไร พวกเราวิ่งจี๋ไปหยุดยืนหอบแฮ่กที่สนามเด็กเล่นร้าง
หญ้าเคยรกท่วมหัวตอนนี้เตียนหมดแล้ว ชิงช้าที่เคยเหลือแต่โซ่ต่องแต่ง ตอนนี้ทั้ง 4 อันมีกระดานขัดมันเรียบร้อย โซ่สีขาว โครงเสาทาสีแดง ม้าโยกสีม่วงสีชมพู ม้าหมุนสีเหลืองสลับเขียวแดง กระดานลื่นสีฟ้า มีห่วงโหนตัวสีชมพู มีปล่องอุโมงค์ทำจากถังพลาสติกเชื่อมต่อกันเพิ่มเข้ามา ลุงแบนเนื้อตัวเลอะสีมอมแมมกำลังปัดแปรงทาสีน้ำเงินบนคานห้อยโหน แกหันมองพวกเราแล้วเลิกคิ้วสูง ●
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น